วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

          "การเดิน" ของพระอริยเจ้า



อภิญญา แปล ว่า ความรู้ยิ่ง (supernatural knowledge) คือ
 
 
ความสามารถรู้สิ่งที่คนธรรมดารู้ไม่
 
 
ได้ สามารถทำสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ แต่เป็นของธรรมดาสำหรับ
 
 
ท่านผู้ได้บรรลุแล้ว
 
 
อภิญญามีหกประการ ได้แก่
 
 
1. อิทธิวิธี การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น คนเดียวทำเป็นหลายคนได้
 
 
 ทำที่มืดให้สว่างได้ เมื่อต้องการจะ
 
 
ไป ณ ที่ใดไม่มีอะไรขวางได้ เดินบนน้ำได้เหมือนเดินบนดิน ไปใน
 
 
อากาศได้เหมือนนก ย่นระยะทางได้
 
 
 ฯลฯ
 
2. ทิพโสต ฟังได้ทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งระยะใกล้และ
 
ไกล
 
3. เจโตปริยญาณ การล่วงรู้จิตใจผู้อื่นว่ามีจิตอย่างไร คิดอะไร
 
 
4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติแต่หนหลังได้
 
 
5. จุตูปปาตญาณ สามารถมองเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้จุติอยู่เป็นอัน
 
 
มาก ใครไปเกิดที่ไหนด้วยกรรมอะไร
 
 
6. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ คือญาณในอริยสัจสี่
 
 
 หรือปฏิจจสมุปบาท
 

อภิญญาห้าประการแรกเป็นโลกียอภิญญา ปุถุชนก็มีได้ ส่วน
 
 
ประการสุดท้ายเป็นโลกุตรอภิญญา มี
 
 
ได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น

พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้เคยเล่าให้ลูก
 
 
ศิษย์ของท่านฟังว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2484 ท่านได้มีโอกาสเดินธุดงค์ไปถึงป่าแถบเมืองเชียงตุง
 
 
 ได้พบเจดีย์ยอดด้วนองค์หนึ่ง เป็นเจดีย์เก่า อยู่ใกล้ต้นยางใหญ่ ท่านและเพื่อนสหธรรมิกร่วมธุดงค์
 
 
ด้วยกันอีกสองรูปตัดสินใจว่าจะอาศัยเขต เจดีย์เป็นที่จำวัด เนื่องด้วยรอบบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่เป
 
 
ที่ร่มรื่นและอยู่ใกล้ภูเขา เมื่อท่านเดินเข้าไปใกล้องค์เจดีย์ ก็ปรากฏพระภิกษุรูปหนึ่งออกมาต้อนรับท่าน
 
 
และคณะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
 
 

   หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ถามพระคุณเจ้ารูปนั้นว่าอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ ท่านตอบว่าอยู่นานแล้ว ถามว่า
 
แถบ
 
นี้มีบ้านเรือนผู้คนหรือไม่ ท่านตอบว่าไม่มี จึงถามว่าแล้วอาหารบริโภคของพระคุณเจ้าได้มาจากที่ใด
 
 
 ท่านตอบว่าได้มาจากบ้าน ท่านเดินจนชินแล้ว จะไกลเพียงใดท่านเดินสักพักหนึ่งก็ถึงแล้ว
 
 
พอเวลาเช้า พระคุณเจ้ารูปนั้นก็ห่มจีวร สะพายบาตรเดินออกไปหลังเขา หายไปสักสิบกว่านาที ก็กลับ
 
 
มาพร้อมกับอาหารหลายอย่าง มาอยู่กับท่าน 2-3 วัน ท่านก็ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงทุกวัน
 
 
 เมื่ออาศัย อยู่กับท่าน ก็ได้คุยกันในฐานะนักปฏิบัติด้วยกัน รู้สึกว่าท่านมีความรู้ดีมาก มานั่งนึกในใจว่า
 
 
 นี่เราพบพระอรหันต์เข้าแล้วหรือนี่ พอนึกเพียงเท่านี้ ท่านก็ยิ้ม บอกว่านึกอย่างนั้นไม่ถูก เราไม่ควรนึก
 
 
ว่าคนอื่นเขาจะเป็นอะไร ใครเขาจะเป็นอะไรก็ช่างเขา ข้อสำคัญเราชำระจิตใจของเราให้สะอาดเป็นพอ
 
 
 

วันที่ลาท่านกลับ ท่านถามว่าจะไปไหน ก็ตอบไปว่าตั้งใจจะไปขึ้นรถไฟที่ลำปาง ท่านก็ชวนออก
 
 
มานอกถ้ำที่ท่านอาศัยอยู่ แล้วชี้ให้ดูยอดเจดีย์ บอกว่าเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์เก่ามาก ต่อ จากนี้ไป ถ้าจะ
 
 
 
มาเยี่ยมเยียนท่าน ก็ให้สังเกตยอดเจดีย์ให้ดี เจดีย์ตั้งอยู่ตรงนี้ เขาตั้งอยู่หลังเจดีย์ แล้วต้นยางต้นนี้ตั้ง
 
 
อยู่ด้านขวาของเจดีย์ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่านชี้ให้ดูยอดเจดีย์จนเพลิน แล้วจู่ ๆ ท่านก็พูดว่า
 
 
 
ถึงสถานีลำปางแล้ว
 

พอท่าน พูดขึ้นมาว่าถึงสถานีลำปางแล้วเท่านั้น ก็มองเห็นรถไฟวิ่งไปวิ่งมา กำลังสับเปลี่ยนราง ก็
 
 
ตกใจ พูดคุยกันเบา ๆ กับเพื่อนสหธรรมิกว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ เพียงพูด
 
 
กันเบา ๆ เท่านั้น ท่านก็หันมายิ้ม เตือนอีกว่าอย่าสนใจกับคนอื่นสิขอรับ สนใจใจของท่านเองดีกว่า
 
 
 ชำระจิตให้สะอาดเป็นดี คนอื่นจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา
 

เมื่อถึง สถานีรถไฟลำปาง ท่านก็พาแวะเข้าไปในร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อฉันเสร็จ เจ้าของร้านก็
 
 
บอกว่ามีเจ้าภาพชำระค่าอาหารให้แล้ว เมื่อจะขึ้นรถไฟ ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถวายตั๋วรถไฟมา
 
 
 
ลงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงตามที่พระคุณเจ้าท่านบอกไว้ล่วงหน้าทุกประการ เป็นเรื่องอัศจรรย์
 

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ขณะจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2481
อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เล่าให้ฟัง เป็นเรื่องหลวงพ่อจงเดินจากวัดหน้าต่างนอกมาวัด
 
บางนมโค เรื่องมีอยู่ว่า...
 

ครั้งหนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อปานยังมีชีวิตอยู่ วัดบางนมโคได้จัดงานฉลองศาลาและมีสวดมนต์เย็น พระ
 
 
อื่นมากันครบแล้ว ขาดแต่หลวงพ่อจง หลวงพ่อปานจึงให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำพาคนเรือ นำเรือเร็วไปรับ
 
 
หลวงพ่อจงมาจากวัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึง ปรากฏว่ามีแขกมารอพบหลวงพ่อจงเพื่อให้ท่านรด
 
 
น้ำมนต์ ท่านจึงบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้นำเรือกลับไปก่อน อีกสักพักหนึ่งหลังจากรดน้ำมนต์ให้ญาติ
 
 
โยมเสร็จ ท่านจะเดินไปวัดบางนมโคเอง
 
หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำเห็นว่าระยะทางจากวัดหน้าต่างนอกไปวัดบางนมโคก็ประมาณสี่กิโลเมตร เรือเร็ว
 
 
วิ่งประมาณสิบกว่านาที แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อีกทั้งใกล้จะถึงเวลาเริ่มพิธีแล้ว ท่านจึงจอด
 
 
เรือรอ แต่หลวงพ่อจงบอกว่าไม่ต้องรอ ให้กลับไปก่อน แล้วหลวงพ่อจะรีบเดินตามไปให้ทันพิธี
 

เมื่อหลวง พ่อฤาษีลิงดำกลับมาถึงวัดบางนมโค ก็ขึ้นไปกราบรายงานหลวงพ่อปานว่า หลวงพ่อจง
 
 
กำลังรดน้ำมนต์อยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือ ท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง หลวงพ่อ
 
 
ปานได้ฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่า นี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้ว แกไปดูบนศาลา
 
 
สิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่บนอาสนะ นั่งหน้าพระรูปอื่นทั้งหมด
 
 
 
 เพราะท่านมีอาวุโสมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าไปกราบ ท่านจึงถามว่ามานานแล้วรึ ก็กราบเรียน
 
 
ท่านไปว่าเพิ่งมาถึง ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีแล้วก็ขึ้นมาบนศาลานี่
 

เลยมา นั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงท่านเดินยังไง คนหนุ่ม ๆ ยังเดินตั้งเกือบชั่วโมง ก็เมื่อไปถึงวัดหน้าต่าง
 
 
นอกตอนนั้น หลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ แต่ท่านมาถึงวัดบางนมโคก่อนเรือเร็วของหลวงพ่อฤาษี
 
 
ลิงดำเสียอีก ขณะที่กำลังคิดสงสัยอยู่นั้น หลวงพ่อจงก็ถามว่าแปลกใจรึ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก
 
 
 
 
 พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติถึงขั้นก็เดินเก่งกันทุกคน ถ้า
 
 
ปฏิบัติยังไม่ถึงก็ยังเดินไม่เก่ง
 
 
 
หลวงพ่อจง พุทฺธสโร แห่งวัดหน้าต่างนอกนี้ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ
 
 
 
ชอบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
 
 
 
 
มาก เชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา ทรงอภิญญาสมาบัติ มีฤทธิ์มาก ท่านเป็นหนึ่งใน 21
 
 
 ยอดพระอริยคณาจารย์ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษกที่วัดราชบพิธ เมื่อปี พ.ศ. 2481
 
 
 และ ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านเป็นที่พึ่งของชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลกันมาขอ
 
บารมีท่านช่วย ปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยสงคราม
 
 

มีเรื่องเล่าในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัด
 
นครสวรรค์ หลวง ตาแว่น พระหลานชายของท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งได้ติดตามหลวงปู่สีไปอำเภอ
 
พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ท่านก็ออกเดินทางกลับวัด โดยบอกให้
 
หลวงตาแว่นเดินหน้า หลวงปู่สีเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏว่า
 
ยังไม่เที่ยง ทันเวลาฉันเพลพอดี
 

จากอำเภอ พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ถึงตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ระยะทาง
 
เกือบสองร้อยกิโลเมตร ถ้านั่งรถยนต์ขับเร็ว ๆ ก็ใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง แต่หลวงปู่สีท่าน "เดิน" ถึง
 
ช่องแคทันฉันเพลได้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง
 
หลวงปู่ สีท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2392 ตรงกับรัชสมัยพระบาท
 
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อท่านมรณภาพในปี พ.ศ. 2520 นั้น มีอายุได้ 128 ปี เป็นพระเถระ
 
ที่มีพรรษากาลสูงมากรูปหนึ่ง วัตถุมงคลของท่านไม่เป็นสองรองใคร
 
 

อีกเรื่องหนึ่ง จากหนังสือ ฐานสโมบูชา บันทึกโดยคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต เกี่ยวกับความมหัศจรรย์
 
 
ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม แห่งวัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย
คุณหญิงสุรีพันธุ์ท่านเล่าว่า ในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 หลวง ปู่ชอบตามคุณหญิงไปพบ
 
 
เพื่อให้ช่วยจัดพิมพ์หนังสือปาฏิโมกข์ เป็นหนังสือเกี่ยวกับพระวินัยที่พระภิกษุจะต้องสวดเวลาลง
 
 
 
ปาฏิโมกข์ในวันพระ จำนวน 84,000 เล่ม ให้เสร็จทันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า
 
 
อยู่หัว ในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม
 

เมื่อรับ คำครูบาอาจารย์แล้ว คุณหญิงจึงรีบเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งท่านเป็นองค์ประธานมหา
 
 
มกุฏราชวิทยาลัย เพื่อทูลขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือตามคำขอของหลวงปู่ สมเด็จฯ ท่านก็ทรงพระ
 
 
เมตตาและประธานคำ "ธรรมทานานุโมทนา" ให้ด้วย
 
 
น่าแปลก.. เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่โดยแท้ ทั้ง ๆ ที่คุณหญิงและคณะฯ เพิ่งเสร็จจากงานบุญ ทั้ง
 
กฐินและผ้าป่าหลายงานติดกัน แต่พอบอกต่อเรื่องงานที่หลวงปู่จะให้จัดพิมพ์หนังสือ เพียงไม่กี่วันก็
 
สามารถหาเงินได้ล้านกว่าบาท พอที่จะเป็นค่าพิมพ์หนังสือ อีกทั้งโรงพิมพ์ก็ช่วยจัดพิมพ์ให้ในราคา
 
พิเศษ ใช้กระดาษอย่างดี หน้าปกทองแถมหุ้มพลาสติกด้วย ประมาณปลายเดือนเมษายน หนังสือก็
 
เสร็จเรียบร้อย
 

คุณหญิง ท่านได้แบ่งหนังสือจำนวนหนึ่งไว้ที่กรุงเทพฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
 
หัว และเตรียมจะถวายสมเด็จพระสังฆราชและพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพื่อทรงแจกจ่ายไป ทั่วประเทศ อีก
 
ส่วนนำไปถวายหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดโคกมน พร้อมทั้งนำรายชื่อผู้ที่ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือเพื่อ
 
ให้หลวงปู่แผ่เมตตาให้ กับผู้บริจาคทุกท่านด้วย
 
 
 

คณะของ คุณหญิงไปถึงวัดโคกมนก็เป็นเวลาเกือบมืดแล้ว พระที่วัดได้ให้ไปรอที่ศาลาซึ่งมีรูปปั้นหุ่นขี้
 
ผึ้งของหลวงปู่ตั้งอยู่ แล้วชาวบ้านกับพระก็เอาเสื่อมาปูให้นั่ง เป็นเสื่อเก่าที่ผ่านการใช้งานมานานจน
 
 
ขาดและมีกลิ่นอับ คุณหญิงท่านก็นึกแปลกใจเพราะสภาพเสื่อไม่เหมาะที่จะนำมารับแขก แต่ก็คิดว่าคง
 
จะดีที่สุดที่พอจะหาได้ในขณะนั้น
 

รอที่ ศาลาสักครู่ พระก็เข็นรถหลวงปู่มาที่ศาลา คุณหญิงและคณะก็ได้กราบรายงานเกี่ยวกับหนังสือที่
 
จัดพิมพ์และขอให้หลวงปู่ แผ่เมตตาให้กับผู้บริจาค คุณหญิงท่านเล่าว่า ขณะนั้น ภายในศาลามืดมาก
 
 
 มืดจนเพื่อนคนหนึ่งในคณะต้องนำไฟฉายมาส่องขณะอ่านรายชื่อผู้ร่วมบริจาค ตั้งแต่หมื่นบาทขึ้นไป
 
ให้หลวงปู่ฟัง ก็แปลกใจที่พระท่านยังไม่เปิดไฟทั้ง ๆ ที่ภายนอกศาลาก็มืดแล้ว
 

หลังจากพักค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน คณะของคุณหญิงได้ถวายภัตตาหารเช้าหลวงปู่ และกราบล
 
ท่านกลับกรุงเทพฯ รถของคุณหญิงแวะเติมน้ำมันจนเต็มถังแถวบ้านสีดาก่อนถึงนครราชสีมา และแวะ
 
ซื้อผลไม้ที่ปากช่อง ก่อนออกรถ คุณหญิงก็พูดดัง ๆ ขึ้นว่า "ดูซิว่าจากปากช่อง เราจะใช้เวลา
 
เท่าไร นี่เวลานี้หกโมงครึ่งนะ"
 

เรื่องแปลกเกิดขึ้นคือ ทั้ง ๆ ที่รถของคุณหญิงใช้ความเร็วเฉลี่ย 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขณะนั้น
 
 ย่านรังสิตก็มีการก่อสร้างทาง ทำให้การจราจรติดขัด แต่รถก็วิ่งเข้ากรุงเทพฯ อย่างราบรื่นโดยไม่ติด
 
สัญญาณไฟแดงที่ใดเลย และมาถึงบ้านลาดพร้าวของคุณหญิง เป็นเวลาทุ่มครึ่ง เท่ากับว่าใช้เวลา
 
เดินทางจากปากช่องถึงลาดพร้าวเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
 
น้ำมันรถที่เติมไว้เต็มถังที่บ้านสีดา ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ราว 300 กิโลเมตร ก็ไม่ได้พร่องลงเลย ภาย
 
หลังนำรถส่งคืนเจ้าของ เจ้าของรถบอกว่าน้ำมันที่เหลืออยู่ในรถนั้น สามารถใช้ต่อในกรุงเทพฯ ได้อีก
 
เจ็ดวัน
 

เรื่องนี้ยังมีต่ออีกว่า น้อง คนหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปด้วย ชื่อคุณศรีเพ็ญ เป็นคนถ่ายรูป ได้ส่งข่าวมาว่า
 
 รูปที่ถ่ายวันที่ไปกราบหลวงปู่นั้น ภายในศาลาดูสว่างเหมือนเวลาบ่าย และมีแสงจากดวงไฟบนเพดาน
 
 เป็นลำแสงสีฟ้า ซึ่งความจริงแล้วในเวลานั้น บนศาลามืดมาก และพระท่านยังไม่ได้เปิดไฟ กระทั่งจะ
 
อ่านหนังสือยังต้องใช้ไฟฉายช่วยส่อง ที่น่าแปลกคือ ในภาพนั้น คณะของคุณหญิงนั่งบนเสื่อขาดเก่า
 
 ๆ ผืนเล็ก ๆ แต่อีกรูปหนึ่งที่ถ่ายมา กลับเป็นภาพที่คณะของคุณหญิงกำลังนั่งบนเสื่อจันทบูรผืนยาว สี
 
 
แดง ใหม่เอี่ยม ทำให้คิดไปว่า คง เป็นผลแห่งบุญที่ได้กระทำ แม้ในโลกแห่งความเป็นจริง จะนั่ง
 
 
อยู่บนเสื่อผืนเก่า แต่ในโลกทิพย์ กำลังนั่งอยู่บนเสื่อจันทบูรสีแดงผืนใหม่เอี่ยม
 

ความแปลก อีกประการหนึ่งคือ ในรูปนั้นปรากฏใครไม่ทราบนั่งซ้อนทับคณะของคุณหญิงอยู่ กำลัง
 
 
กราบรูปปั้นหลวงปู่ในศาลา ในท่านั่งกระหย่ง เห็นแต่เท้าขนาดใหญ่สามเท้า ซึ่งไม่ใช่ขนาดเท้าของ
 
มนุษย์เรา หลายรูปปรากฏภาพแปลก ๆ อย่างเช่น ในความเป็นจริง พระที่ปรนนิบัติหลวงปู่มีอยู่เพียง
 
 
สองท่าน แต่ในรูปจะมีพระรางเลือนอีกหลายท่าน คงจะเป็นเทพยดา ที่เคยบวชเป็นพระมาก่อน มาเฝ้า
 
 
ปรนนิบัติหลวงปู่อยู่ด้วย ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ทำไมหลวงปู่ท่านจึงอยู่ในบริเวณที่มืด ๆ ได้อย่างสบาย
 
 
 เพราะในขณะที่เราเห็นเป็นที่มืดนั้น แต่สำหรับหลวงปู่ กลับเป็นโลกที่สว่างด้วยแสงเทพตลอด
 
 
เวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น